Vita-D 200,000 IU Made in Korea Cholecalciferol vitamin D vitamin D3
Vita-D 200,000 IU Made in Korea Cholecalciferol vitamin D vitamin D3
คุณมี วิตามินดี พอหรือยัง
จากข้อมูล พบว่าคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครมีระดับวิตามินดีต่ำกว่าคนไทยในภูมิภาคอื่น ๆ โดยกว่าร้อยละ 60 ของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และเกือบร้อยละ 50 ของคนในตัวเมืองแต่ละจังหวัดต่าง ๆ มีภาวะพร่องวิตามินดีมากกว่าคนในพื้นที่ชนบท ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้จากผิวหนังเมื่อโดนแสงแดด แต่จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คนส่วนใหญ่อยู่ในห้องหรืออาคาร และออกมาสัมผัสแสงแดดลดลง จึงทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า ภาวะพร่องหรือขาดวิตามินดี
ภาวะพร่องหรือขาดวิตามินดี (Vitamin D insufficiency or deficiency)
คือ ภาวะที่ระดับวิตามินดีในร่างกายต่ำกว่าค่าปกติ พบในคนทั่วไป ทำให้การดูดซึมแคลเซียมในร่างกายลดลงส่งผลให้มวลกระดูกลดลงจนนำไปสู่ภาวะกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้
ภาวะขาดวิตามินดี มีสาเหตุจากอะไร?
- การได้รับวิตามินดีจากอาหารไม่เพียงพอ โดยบุคคลที่รับประทานมังสวิรัติและไม่รับประทานเนื้อปลา มีแนวโน้มได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอในแต่ละวัน
- การได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ การหลีกเลี่ยงแสงแดด รวมทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด ล้วนส่งผลให้การสังเคราะห์วิตามินดีจากผิวหนังลดลง
- การดูดซึมวิตามินดีผ่านทางเดินอาหารบกพร่อง จากโรคที่ส่งผลให้การดูดซึมวิตามินดีลดลง เช่น Celiac disease, Crohn’s disease เป็นต้น นอกจากนี้ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กก็มีส่วนทำให้การดูดซึมวิตามินดีลดลงได้
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาขยายหลอดลม ยารักษาวัณโรคบางชนิด ส่งผลให้ร่างกายเปลี่ยนวิตามินดีไปอยู่ในรูปแบบที่ไม่ออกฤทธิ์มากขึ้น
วิตามินดีมีความสำคัญอย่างไร?
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย คือ
- ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหาร และรักษาระดับแร่ธาตุดังกล่าวในเลือดให้เป็นปกติ
- ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์อันเป็นสาเหตุให้เกิดการสลายกระดูก
ซึ่งหากขาดวิตามินดีจะส่งผลให้การดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหารลดลง มวลกระดูกลดลง เมื่อลื่น ตก หกล้ม อาจเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้มากขึ้น นอกจากนี้ ภาวะขาดวิตามินดีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ ระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดต่ำ โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Ricket disease) และโรคกระดูกอ่อนในผู้ใหญ่ (Osteomalacia) เป็นต้น
เมื่อขาดวิตามินดีแล้ว ควรทำอย่างไร?
หากท่านได้รับการตรวจวินิจฉัยว่า มีภาวะพร่องหรือขาดวิตามินดี เรามีคำแนะนำดี ๆ ให้ท่านได้นำไปปฏิบัติดังนี้1. ทำกิจกรรมที่ได้รับแสงแดด อย่างน้อย 15 นาที จำนวน 2-4 ครั้ง/สัปดาห์ ช่วงเวลาที่ไม่ร้อนจนเกินไป เช่น เวลาเช้า 6.00 - 8.00 น. หรือช่วงเย็น 16.00 -18.00 น. แสงแดดจะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลในร่างกายไปเป็นวิตามินดี2.รับประทานอาหารที่ให้ปริมาณวิตามินดีสูง เช่น
- ปลาที่มีน้ำมันสูง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น
- น้ำมันตับปลา
- ไข่แดง
- นม
- อาหารเสริมวิตามินดี เช่น มาร์การีน ซีเรียล ขนมปัง เป็นต้น
มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า วิตามินดีช่วยต่อสู้กับไวรัสโคโรนาได้หรือไม่
คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องโภชนาการ (Scientific Advisory Commission on Nutrition-- SACN) และสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ หรือไนซ์ (National Institute for Health and Care Excellence--NICE) ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างคร่าว ๆ แล้ว
คำแนะนำคืออะไร
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างหนัก มีคนต้องอยู่แต่ภายในบ้านเพิ่มมากขึ้น บางคนอาจจะขาดวิตามินดี ปกติแล้ว คนเราได้วิตามินดีจากการอยู่กลางแจ้ง เมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด
บริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service—NHS) ระบุว่า คนควรพิจารณารับวิตามินดี 10 ไมโครกรัม ต่อวัน ถ้าคนคนนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในร่ม
รัฐบาลสกอตแลนด์ รัฐบาลเวลส์ และสำนักงานสาธารณสุขของไอร์แลนด์เหนือ ออกคำเตือนที่คล้ายคลึงกันในช่วงล็อกดาวน์ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 คนทั่วไปในสหราช ได้รับคำแนะนำให้รับวิตามินดีในช่วงเดือน ต.ค. ถึง มี.ค.
สาธารณสุขอังกฤษแนะนำให้ประชาชนรับวิตามินดีตลอดทั้งปี ถ้าหาก:
- คุณไม่ค่อยออกกลางแจ้ง
- คุณอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราหรือสถานดูแลคนป่วยหรือคนพิการ
- คุณสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวกายส่วนใหญ่เมื่อออกไปข้างนอก
- คนที่มีผิวเข้มอาจจะได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ ถึงแม้จะใช้เวลากลางแจ้งนาน และควรพิจารณารับวิตามินดีเสริมตลอดทั้งปี
**มีหลักฐานว่า กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มคนเอเชีย และคนผิวดำ มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงกว่าเมื่อป่วยเป็นโควิด-19
ทำไมเราจึงต้องการวิตามินดี
วิตามินดีมีความสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ การขาดวิตามินดี อาจนำไปสู่ความผิดปกติของกระดูกที่เรียกว่า โรคกระดูกอ่อนในเด็ก และโรคกระดูกน่วมในผู้ใหญ่
มีข้อบ่งชี้หลายอย่างว่า วิตามินดีช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและช่วยต้านการติดเชื้อต่าง ๆ ได้
การศึกษาบางอย่าง ระบุว่า ระดับวิตามินดีที่เพียงพอช่วยได้เมื่อเราเป็นหวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ แต่หลักฐานจากการวิจัยนี้ยังไม่มีความแน่นอน
SACN ระบุว่า การศึกษาหลายอย่างเกี่ยวกับการใช้วิตามินดีเพื่อรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อในทรวงอกยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการแนะนำให้ใช้วิตามินดีเพื่อวัตถุประสงค์นี้
วิตามินดีช่วยยับยั้งไวรัสโคโรนาได้ไหม
NICE ได้ตรวจสอบงานวิจัย และระบุว่า ไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่า การเสริมวิตามินดีจะช่วยป้องกันหรือช่วยรักษาการป่วยเป็นโควิด-19 ได้โดยเฉพาะ
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่า มันอาจจะส่งผลดีต่อสุขภาพหลายอย่างในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก ในการทำให้คนได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม
วิตามินดีมีสรรพคุณช่วยต่อต้านการอักเสบ
นักวิจัยบางคนระบุว่า การขาดวิตามินดีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่บางคนมีอาการป่วยรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วยอย่างเช่น โรคหัวใจ ทำให้ยากที่จะได้ข้อสรุป
ศาสตราจารย์จอน โรดส์ ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล (University of Liverpool) กล่าวว่า วิตามินดีมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบ และงานวิจัยบางแห่งระบุว่า มันช่วยภูมิคุ้มกันในร่างกายที่รับมือกับไวรัสต่าง ๆ
เรื่องนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนไข้โควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ซึ่งปอดได้รับความเสียหายอย่างหนัก อาจเป็นผลมาจากการอักเสบที่เรียกว่า "พายุไซโตไคน์" (การหลั่งสารไซโตไคน์ออกมามากเกินไป ทำให้มีปฏิกิริยารุนแรงและอาจสร้างความเสียหายต่อเซลล์สุขภาพดี) ในการรับมือกับไวรัสต่าง ๆ
Product Information
Vita-D Inj.
200,000IU
Component
Cholecalciferol (EP) in 1mL ----5mg (200,000 IU) [Solvent: medium-chain triglycerides (MCTs), Tocopherol(dl-α-Tocopherol)]
Identification
Colorless to greenish-yellow cholecalciferol emulsion in a brown glass ampoule
Efficacy / Effect
1. Prevention and treatment of vitamin D deficiency in the elderly and adolescents with a high risk of vitamin D deficiency
2. Prevention and treatment of vitamin D deficiency in adults at high risk of vitamin D deficiency with malabsorption
ประสิทธิภาพ/ผลกระทบ
1. การป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินดีในผู้สูงอายุและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีสูง
2. การป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินดีในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดวิตามินดีโดยมีการดูดซึมผิดปกติ
Dosage
Use according to the doctor's prescription but adjust the dose according to the level
of 25-hydroxy vitamin D in the blood.
Adverse reactions increase with overdose, so do not administer more than necessary.
Adult: As cholecalciferol, 200,000 IU is injected intramuscularly.
Adolescent: As cholecalciferol, 200,000 IU is injected intramuscularly.
Elderly: As cholecalciferol, 100,000 IU is injected intramuscularly.
The annual dose should not exceed 600,000 IU as cholecalciferol.
ปริมาณ
ใช้ตามใบสั่งแพทย์ แต่ปรับขนาดยาตามระดับของวิตามินดี 25-ไฮดรอกซีในเลือด อาการไม่พึงประสงค์จะเพิ่มขึ้น
เมื่อให้ยาเกินขนาด ดังนั้นอย่าให้ยาเกินขนาดที่จำเป็น
ผู้ใหญ่: cholecalciferol 200,000 IU ฉีดเข้ากล้าม
วัยรุ่น: cholecalciferol 200,000 IU ฉีดเข้ากล้าม
ผู้สูงอายุ: cholecalciferol 100,000 IU จะถูกฉีดเข้ากล้าม ปริมาณประจำปีไม่ควรเกิน 600,000 IU เป็น cholecalciferol
Precautions for use
1. Warning
1) To avoid overdose, take treatment containing vitamin D and food intake enhancing vitamin D level into consideration. 2) Observe calcium level; if the level of serum calcium exceeds 10.5mg/dl or urinary calcium in adults exceeds 4mg/kg day, stop dosing. 3) If calcium intake is high, regularly monitor the blood and calcium level.
2. Do not administer this drug to the following patients: 1) Patients with hypersensitivity to the components of this drug 2) Patients with hypercalcemia, hypercalciuria 3) Patients with calcium oxalate stones 4) Patients with renal impairment 5) Patients who are immobilized in a hospital bed 6) Sarcoidosis 7) Patients with pseudoparathyroidism
3. Adverse reaction 1) If overdose, the following adverse reactions may occur: Headache, asthenia, fatigue, muscle pain, Loss of appetite, weight loss, growth disorder, nausea, vomiting, constipation, diarrhea, polydipsia, polyuria, dehydration, high blood pressure, calcium oxalate stones, tissue calcification, kidney disease, vascular disease, and kidney failure. In addition, hypercalcemia, hyperphosphatemia, and hyperphosphateuria may occur.
ข้อควรระวังในการใช้งาน
1. คำเตือน
1) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาด ให้พิจารณาการรักษาที่มีวิตามินดีและการรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มระดับวิตามินดี
2) สังเกตระดับแคลเซียม หากระดับแคลเซียมในเลือดเกิน 10.5 มก./ดล.
หรือแคลเซียมในปัสสาวะในผู้ใหญ่เกิน 4 มก./กก. วัน ให้หยุดรับประทานยา
3) หากได้รับแคลเซียมสูง ควรตรวจดูระดับเลือดและแคลเซียมอย่างสม่ำเสมอ
2. ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยต่อไปนี้:
1) ผู้ป่วยที่แพ้ส่วนประกอบของยานี้
2) ผู้ป่วยที่มีแคลเซียมในเลือดสูง, แคลเซียมในเลือดสูง
3) ผู้ป่วยนิ่วแคลเซียมออกซาเลต
4) ผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง
5) ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เตียงในโรงพยาบาล
6) Sarcoidosis
7) ผู้ป่วยโรคพาราไทรอยด์เทียม
3. อาการไม่พึงประสงค์
1) หากใช้ยาเกินขนาด อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังต่อไปนี้ : ปวดศีรษะ อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
เหนื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด การเจริญเติบโตผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย
ท้องเสีย polydipsia ภาวะปัสสาวะมาก ภาวะขาดน้ำ สูง ความดันโลหิต นิ่วแคลเซียมออกซาเลต
เนื้อเยื่อกลายเป็นปูน โรคไต โรคหลอดเลือด และไตวาย นอกจากนี้อาจเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง,
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงและภาวะฟอสเฟตในปัสสาวะมากเกินไป
